10 ความจริงเกี่ยวกับนักเรียนแลกเปลี่ยนที่คุณอาจจะไม่เคยรู้

1.) เชื่อหรือไม่ นักเรียนแลกเปลี่ยนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ไปประเทศที่พูดภาษาที่สาม (ภาษาอื่นๆที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่สองของชาวไทย) หรือแม้กระทั่งนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ไป

สัมภาษณ์ชีวิตสุขสันต์ของนักศึกษาสาวจากสองสถาบันดัง…พี่แนนพี่อาย

วันนี้ทีมงาน MORPAMAHALAI ได้มีโอกาสมาสัมภาษณ์ชีวิตแบบมันส์ๆแต่มีสาระของสองสาวคู่ซี้ จากสองสถาบันกันคะ.

8 เรื่องจริงที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับเด็ก การท่องเที่ยว

กลายเป็นสาขาที่มาแรงแซงทุกทางโค้งสำหรับสาขา อุตสหกรรมการท่องเที่ยว แต่หลายคนอาจไม่รู้หรือเข้าใจเกี่ยวสาขานี้ เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

15 ความจริงเกี่ยวกับเด็กอักษรศาสตร์

1.) ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเด็กอักษรฯ ซึ่งทุกคนต้องนึกภาพฝันไว้ว่า นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์นั้นจะต้องเป็นเลิศด้านภาษา พูดภาษาอังกฤษน้ำไหลไฟดับกันทุกคน แต่หารู้ไม่ว่า

29 ก.ค. 2557

เคล็ดลับวิธีอ่านหนังสือเรียนให้จำแม่น

เคล็ดลับวิธีอ่านหนังสือเรียนให้จำแม่น  

               
                   การอ่านหนังสือเรียนนั้นเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของเด็กตั้งแต่เด็กมัธยมไปจนถึงชั้นมหาวิทยาลัย และแน่นอนว่าทุกคนก็จะต้องประสบกับปัญหาความกังวลใจในระหว่างที่จำเป็นต้อง อ่านหนังสือเรียน เพื่อเตรียมตัวในการ ทำข้อสอบ หลายคนพยายามตั้งใจอ่านหนังสืออย่างจริงจัง แต่กลับไม่สามารถทำข้อสอบได้ดี หรือบางคนก็พยายามหา เคล็ดลับต่างๆ ในการจำ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ความจำดีขึ้นได้ แถมยังทำให้สิ่งที่อ่านผ่านไปแล้วไม่เข้าหัว จนกลายเป็นความเครียด และคะแนนสอบที่ต่ำกว่าความคาดหวัง นั่นก็อาจจะเป็นเพราะเราไม่รู้เคล็ดของการอ่านหนังสือเพื่อให้เกิดการจดจำ ดังนั้นคำแนะนำต่อไปนี้จึงเป็นสิ่งที่เพื่อนๆ จำเป็นจะต้องศึกษาเอาไว้เพื่อนำไปประยุกต์ใช้เป็นเทคนิคของการอ่านให้สามารถจดจำได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

                   1.พยายามหาคอยสังเกตตัวเองว่าช่วงเวลาไหนที่เราจะมีสมาธิจดจ่อกับการอ่านมากที่สุด ซึ่งเด็กแต่ละคนก็จะมีช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป บางคนเป็นช่วงเช้า หรือบางคนเป็นช่วงดึก ก็ให้เราตั้งใจอ่านหนังสือในช่วงนั้นๆ ให้มากขึ้น

                   2.ขณะอ่านหนังสือต้องพยายามตั้งใจอย่างแน่วแน่ พุ่งจุดสนใจมาที่ตำราเรียนเพียงอย่างเดียว จดจ่ออยู่กับมันสักช่วงเวลาหนึ่ง แล้วจึงค่อยผ่อนคลายตัวเองสักพักแล้วกลับไปอ่านต่อ

                   3.หลังจากอ่านได้สักย่อหน้าหนึ่งแล้ว ให้เราลองปิดหนังสือและลองทบทวนสิ่งที่อ่านไปตามความเข้าใจของตัวเอง อาจจะลองพูดปากเปล่า หรือเขียนเป็นคำสั้นๆ ลงไปในกระดาษด้วยก็ได้

                   เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้การอ่านหนังสือเรียนของเรามีความแม่นยำมากขึ้น และช่วยให้สมองของเราสามรถจดจำสิ่งต่างๆ ในหนังสือเรียนได้ดีกว่าการอ่านผ่านๆ อย่างไม่มีเป้าหมายอีกด้วย

26 ก.ค. 2557

เรียนอย่างไรไม่ให้ต้องเจอกับความเครียด

เรียนอย่างไรไม่ให้ต้องเจอกับความเครียด



รู้หรือไม่ว่าการเป็นเด็กมหาลัยนั้น นอกจากจะเป็นช่วงเวลาของการเปิดโลกตัวเองให้กว้างขึ้นแล้ว ก็ยังต้องพบเจอกับปัญหาของการเรียนที่มักจะมาจากความกดดันและความรับผิดชอบที่สูงขึ้นจากเดิม ส่งผลให้เพื่อนๆ หลายคนปรับตัวไม่ค่อยได้ จนกลายเป็นความเครียดที่สะสมขึ้นมาอย่างรู้ตัว และปัญหานี้นี่เองที่สามารถส่งผลกระทบกับตัวเพื่อนๆ จนนำมาซึ่งการเรียนที่ไม่ได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นแล้วก่อนที่เพื่อนๆ น้องๆเด็กมัธยมและน้องๆ เด็กพาณิชย์ ที่จะ เรียนต่อ ทุกคนจะกลายมาเป็นเด็กมหาลัย แล้วละก็ อาจจะต้องเรียนรู้ในการเอาชนะความเครียดจากการเรียนของตนเองให้ได้ เพื่อศักยภาพในการเรียนที่ดีต่อไปนั่นเองคะ
รู้จักสร้างบรรยากาศในการทำงานให้ผ่อนคลาย
บางครั้งเพียงแค่การเปลี่ยนโต๊ะทำงานเสียใหม่ หรือปรับห้องของตัวเองให้ดูเงียบสงบ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นสัดเป็นส่วนอย่างน่ามอง ก็จะช่วยให้เพื่อนๆ เด็กมหาลัย สามารถนั่งทำงานทำโปรเจคของตัวเองให้ดีเริ่ดขึ้นมาได้อย่างไม่เชื่อ อีกทั้งยังช่วยให้การปั่นงานดูไม่กดดันและเพิ่มความผ่อนคลายให้สมองแล่นมากขึ้น
รู้จักวางแผนการทำงานและการเรียนอย่างเหมาะสม
เมื่อเข้าสู่ห้องเรียน อาจารย์ก็จะต้องมีการสั่งการบ้านเพิ่มเติมให้เราได้กลับเอาไปทำ ทำให้หลายๆ คนรู้สึกว่าการเรียนในห้องเรียนก็เหนื่อยมากพอแล้ว และอยากกลับบ้านมาพักผ่อน ทำให้เกิดอาการผัดวันประกันพรุ่ง ทางที่ดีเพื่อไม่ให้การบ้านของเรากลายเป็นดินพอกหางหมู ก็ควรจะรู้จักจัดสรรเวลาทำการงาน รู้จักการเรียงลำดับความสำคัญของงานต่างๆ ให้ดีขึ้น ก็จะช่วยให้เพื่อนๆ ไม่ต้องมานั่งกังวลกับงานที่แล้วเสร็จอย่างแน่นอน
เปลี่ยนความคิดตัวเองเสียใหม่
เพื่อนๆ หลายคนอาจจะไม่คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลง ที่ต้องมีความรับผิดชอบในตัวเองมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เพื่อนๆ ทุกคนสามารถทำได้ก็คือการเปลี่ยนความคิดตัวเองซะ คิดเสียว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่เด็กและกำลังเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยของการทำงาน หากอยากมีอนาคตที่ดีก็จะต้องตั้งใจเรียนเพื่อความสำเร็จที่รอออยู่

วิธีแก้ปัญหาความเครียดเหล่านี้เป็นเพียงวิธีการง่ายๆ ที่ใครๆ ก็สามารถจะทำได้ แถมยังช่วย

ให้การเรียนมีความสุขมากขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย 

เริ่มหาที่เรียนพิเศษ

เรียนพิเศษ ก็อย่าทิ้งนะแม้ว่า การ เรียนพิเศษ ในระดับมหาลัยจะมีน้อยแต่สำคัญนะครับและการเรียนพิเศษที่ดี คือลองสอนพิเศษน้องๆ เพื่อเป็นการทบทวนตัวเองด้วยนะ

25 ก.ค. 2557

เรียนไปทำงานไปอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

เรียนไปทำงานไปอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
            สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังอยู่ในช่วงวัยเรียน ไม่ว่าจะเป็นเด็กมัธยมหรือเด็กมหาลัย ก็ตามที อาจจะอยากออกไปทำงานหาเงินเพิ่มเติมมากขึ้นเพื่อเอามาไว้ใช้เป็นทุนการศึกษาหรือซื้อของที่ตัวเองอยากได้ โดยไม่ต้องการให้พ่อแม่ต้องลำบากแล้วละก็ อาจจะกลัวว่าการทำงานจะส่งผลกระทบต่อการเรียนให้ย่ำแย่ เรียนไม่จบ ซ้ำชั้น หรือแม้กระทั่งผลสอบที่ออกมาอย่างไม่น่าพอใจ แต่เพื่อนๆ ทราบหรือไม่คะว่า การเรียนไปทำงานไปนั้นสามารถทำได้ไปพร้อมๆ กัน เพียงแค่รู้จักเคล็ดลับจัดระเบียบเวลาของตนเองให้ดีขึ้นดังคำแนะนำต่อไปนี้
รู้จักการแบ่งเวลาอย่างมีวินัย
เมื่อต้องเรียนและทำงานไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการรู้จักแบ่งเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และต้องมีวินัยในตัวเอง เมื่อถึงเวลาเรียนก็ต้องเรียนอย่างจริงจัง และต้องหาเวลา เรียนพิเศษบ้าง เวลาทำการบ้านก็ทำอย่างเต็มที่จนเสร็จโดยไม่วอกแวกไปไหน เมื่อถึงเวลางานก็จะได้ทำงานโดยไม่ต้องมาห่วงกังวลเรื่องการเรียน
รู้จักโฟกัสบทเรียน
การเรียนที่ดีและได้ผลนั้นไม่ใช่การนั่งท่องตำราเล่มหนาๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าการเรียนรู้ที่ดี เราจะต้องรู้จักโฟกัสไปที่เนื้อหาสำคัญของเรื่อง เรียนรู้ให้เข้าใจไม่ใช่แค่การจำตัวหนังสือ ก็จะช่วยให้เราย่นย่อเวลาของการเรียนให้น้อยลง แถมยังได้ความรู้มากขึ้นอีกด้วย ส่วนเวลาที่เหลือก็สามารถเอาไปพักผ่อนหรือทำงานเพิ่มเติมต่อไปนั่นเอง
รู้จักการออมเงิน

เงินที่ได้มาระหว่างการเรียนไปทำงานไปนั้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อย เพื่อนๆ จึงควรตระหนักว่าเงินที่ได้มานั้นไม่ควรเอาไปใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่จะต้องรู้จักใช้อย่างคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป เงินบางส่วนก็ควรนำเอามาไว้ใช้ในการออม เพื่อความมั่นคงในอนาคตของตัวเราเอง เอาไว้ เรียนต่อในอนาคต เพื่อจะได้เป็น นักเรียนแลกเปลี่ยน กับเค้าบ้างนะจ๊ะ

24 ก.ค. 2557

3 ความเชื่อที่เราเข้าใจผิดกับการเรียนพิเศษ

3 ความเชื่อที่เราเข้าใจผิดกับการ เรียนพิเศษ
          เมื่อการเตรียมพร้อมของเหล่าเด็กมัธยม ที่กำลังจะเติบโตขึ้นเข้าสู่การเป็นเด็กมหาลัย ทำหลายๆ คนอาจจะต้องประสบกับภาวะความเครียด ความกดดัน และความไม่เชื่อมั่นในตัวเองต่างๆ นาๆ ที่เข้ามารุมเร้า และหนึ่งในกระแสนิยมที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจว่าเหล่าเด็กมัธยมจะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีเชื่อเสียง และได้คะแนนเป็นอันดับต้นๆ ได้นั้น ก็คือการเรียนพิเศษที่เด็กและผู้ปกครองส่วนมากมีความเชื่ออย่างผิดๆ ว่าการเรียนพิเศษจะช่วยให้เด็กมีความสามารถและได้รับโอกาสในการเรียนที่ดีๆ ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเรามาดูกันเลยคะว่า ความเชื่อผิดๆ ที่เราต่างหลงงมงายกับการเรียนพิเศษกันมานาน มีเรื่องอะไรบ้าง

1.คิดว่าการไม่ เรียนพิเศษ คือการเสียเปรียบ
หลายคนที่เรียนในห้อเรียนเพียงอย่างเดียว อาจจะเชื่อว่าตนเองไม่เก่งเท่ากับคนที่เรียนพิเศษ จึงพยายามขวนขวายหาวิธีให้ตัวเองได้ไปเรียนบ้าง เพราะกว่าจะเสียเปรียบขึ้นมา แต่ในความเป็นจริงแล้วหากเราเรียนอยู่ที่ไหนก็ตามแล้วไม่ขวนขวายต่อยอดการเรียนรู้แล้วละก็ ยังไงเสียการเรียนพิเศษก็คงไม่มีความหมายอะไรเช่นกัน

2.เชื่อว่าการ เรียนพิเศษ ต้องเรียนกับสถาบันดังๆ
การเรียนในสถาบันดังๆ มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่วัดผลว่าเราจะเก่งเสมอไปไม่ เพราะหากอาจารย์ที่สอนนั้นไม่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจ หรือเราอาจจะมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน จะดีเสียกว่าถ้าเราได้เรียนกับอาจารย์สักคนที่สอนให้เราเข้าใจบทเรียนอย่างถ่องแท้ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่อาจารย์ที่ชื่อเสียงเสมอไป

3.สถาบันที่ดีต้องมีราคาแพง
ความเชื่อนี้เป็นความผิดอย่างมหันต์ เพราะเด็กๆ ทราบหรือไม่คะว่า การเรียนในสถาบันเรียนพิเศษก็คือการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ดังนั้นการที่มีคอร์สแพงก็คือหลักทางการตลาด ที่อาจจะมีเนื้อหาไม่ได้ต่างไปจากคอร์สราคาถูกๆ ในสถานที่เล็กลงมาเลยก็ได้
ดังนั้นแล้วหากเด็กๆ คนไหนที่คิดกำลังจะไปเรียนแล้วละก็ ควรทบทวนให้ดีเสียก่อนว่าสถานบันนั้นๆ เหมาะสม และคุ้มค่ามากพอที่เราต้องจ่ายเงินเพื่อการเรียนเพิ่มเติมเหล่านั้นหรือไม่